กระทือ

ชื่อสมุนไพร
กระทือ
ชื่ออื่น ๆ
กระทือ (ภาคกลาง) ทือ หัวทือ กะทือป่า กะแวน กะแอน แฮวดำ (ภาคเหนือ) เปลพ้อ (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) เฮียวข่า (ฉาน แม่ฮ่องสอน) เฮียวดำ เฮียวแดง เฮียงแดง (แม่ฮ่องสอน)
ชื่อวิทยาศาสตร์
Zingiber zerumbet (L.) Roscoe ex Sm.
ชื่อวงศ์
Zingiberaceae
สรรพคุณ
- เหง้า บำรุงน้ำนมสตรีให้บริบูรณ์ ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม แก้ลมจุกเสียด ช้ำบวม ช่วยย่อยอาหาร แก้ปวดมวนในท้อง แก้บิด แก้ไอ บำรุงธาตุ ขับปัสสาวะ เหง้าหมกไฟ ฝนกับน้ำปูนใสรับประทาน แก้บิด ปวดเบ่ง แก้เสมหะเป็นพิษ แก้แน่นหน้าอก กล่อมอาจม ขับน้ำย่อยอาหารให้ลงสู่ลำไส้ แก้จุกเสียดและบำรุงน้ำนม ใช้หัวกะทือรวมกับหัวไพล เผาไฟคั้นเอาน้ำรับประทาน แก้บิด แก้ปวดเบ่ง แก้พิษเสมหะ แก้ปวดมวน แก้แน่น
- ราก รสขมขื่นเล็กน้อย แก้ไข้ตัวเย็น แต่รู้สึกร้อนภายใน
- ใบ รสขมขื่นเล็กน้อย ขับลม ขับเลือดเสียในมดลูก ขับน้ำคาวปลา ขับเลือดร้ายในเรือนไฟ
- ดอก รสขมขื่น แก้ผอมเหลือง แก้ไข้เรื้อรัง ไข้ตัวเย็น ไข้จับสั่น แก้ลม บำรุงธาตุ
- เกสร รสเฝื่อนปร่า แก้ลม บำรุงธาตุ
- ต้น มีรสขมขื่น ทำให้เจริญอาหาร แก้ไข้
- ตำรายาไทย: มีการใช้กระทือใน “พิกัดตรีผลธาตุ” คือการจำกัดจำนวนตัวยาแก้ธาตุทั้งสี่ 3 อย่าง มีเหง้ากระทือ เหง้าไพล หัวตะไคร้หอม มีสรรพคุณบำรุงไฟ แก้ไข้ตัวร้อน แก้กำเดา
- บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิมตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุตำรับ “ยาเลือดงาม” มีส่วนประกอบของเหง้ากระทือร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับมีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ แก้มุตกิด
การใช้ประโยชน์
ทางอาหาร หน่ออ่อน เนื้ออ่อนในลำต้น และช่อดอกอ่อน นำมาแกงเผ็ด แกงไตปลา ต้มจิ้มน้ำพริก ผัด ยำ
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดลอง ของสารบริสุทธิ์ 4 ชนิด ที่แยกได้จากเหง้ากระทือ ได้แก่ zerumbone(1), 3-O-methyl kaempferol(2), kaempferol-3-O-(2, 4-di-O-acetyl-α-L-rhamnopyranoside) (3) และ kaempferol-3-O-(3,4-di-O-acetyl-α-L-rhamnopyranoside) (4) โดยดูผลการยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ และ prostaglandin E2 (PGE2) ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องในขบวนการอักเสบที่หลั่งจากแมคโครฟาจ (RAW 264.7 murine macrophage cell lines) ของหนู โดยใช้ lipopolysaccharide (LPS) เป็นสารกระตุ้นการอักเสบ ผลการทดสอบพบว่าสาร (1) และ (2) มีฤทธิ์แรงในการยับยั้งการสร้าง NO ได้ร้อยละ 84.1 ± 2.31 และ 47.1 ± 2.97ตามลำดับ โดยสามารถยับยั้งการผลิต NO ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ มีค่า IC50 เท่ากับ 4.37 และ 24.35 µM ตามลำดับ ฤทธิ์ยับยั้งการหลั่ง prostaglandin E2 (PGE2) พบว่าสาร (1) และ (2) มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่ง PGE2ได้ร้อยละ 51.0 ± 12.7 และ 68.6 ± 15.9 ตามลำดับ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 20 และ 40 µM ตามลำดับ (Chien, et al., 2008)
ทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในสัตว์ทดลองของสาร zerumbone ซึ่งเป็นสารกลุ่ม monocyclic sesquiterpene ที่เป็นสารองค์ประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหยที่แยกได้จากเหง้ากระทือ ใช้การทดสอบด้วยวิธี writhing test ในหนูขาวเพศเมียสายพันธุ์ Sprague–Dawley ฉีดสาร zerumbone ในขนาดความเข้มข้น 10 และ 20 mg/kg เข้าทางช่องท้องหนูก่อนฉีดคาราจีนแนน หรือพรอสตาแกลนดิน E2 ที่บริเวณอุ้งเท้าหลังด้านขวาของหนู เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ บันทึกผลปริมาตรการบวมของอุ้งเท้าหนูด้วยเครื่อง plethysmometer ที่เวลา 1, 2, 3, 4 และ 5 ชั่วโมง ผลการศึกษาพบว่า สาร zerumbone มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เกิดจากการเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน และ prostaglandin E2 (PGE2) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน piroxicam (20mg/kg) ซึ่งเป็นยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID)โดยสาร zerumbone ขนาด 10 และ 20 mg/kg และยา piroxicam มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.05) โดยมีค่าการต้านการอักเสบได้ร้อยละ 45.67, 70.37 และ 75.31 ตามลำดับ ฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เหนี่ยวนำด้วยพรอสตาแกลนดิน E2 พบว่ามีค่าการต้านการอักเสบคิดเป็นร้อยละ 41.46, 87.80 และ 92.68 ตามลำดับ (Somchit, et al., 2012)
ฤทธิ์ลดการบวมที่อุ้งเท้าหนู
การทดสอบฤทธิ์ลดการบวมที่อุ้งเท้าหนูถีบจักร สายพันธุ์ ICR โดยการฉีดสารบริสุทธิ์ที่แยกได้จากเหง้ากระทือ ได้แก่ zerumbone ขนาด 10 mg/kg ก่อนให้คาราจีแนน1 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบวมที่อุ้งเท้าด้านหลังของหนู แล้วบันทึกผลปริมาตรการบวมของอุ้งเท้าด้วยเครื่อง plethysmometer ที่เวลา 1, 2, 3, 4, 5 และ 6 ชั่วโมง ผลการทดสอบพบว่าสาร zerumbone และสารมาตรฐาน indomethacin ขนาด 100 mg/kg สามารถลดปริมาตรการบวมได้ โดยมีค่าร้อยละของการเพิ่มขึ้นของปริมาตรอุ้งเท้าเท่ากับ 38.8±16.7 และ 51.0±16.7% (P<0.01 เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม) ตามลำดับ โดยสาร zerumbone ออกฤทธิ์ได้ดีกว่าสารมาตรฐาน โดยสรุปสาร zerumbone มีฤทธิ์ลดการอักเสบ และลดการบวมได้ดีที่สุด โดยสามารถยับยั้งการหลั่งไนตริกออกไซด์ เมื่อทดสอบในหลอดทดลอง และลดการบวมที่อุ้งเท้าหนูได้ (Chien, et al., 2008)
ฤทธิ์แก้ปวด
ทดสอบฤทธิ์แก้ปวดของน้ำมันหอมระเหยที่กลั่นได้จากเหง้ากระทือ ในหนูถีบจักรเพศผู้สายพันธุ์ ICR โดยกระตุ้นให้หนูเกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าท้องด้วยการฉีดกรดอะซิติก (writing test) ซึ่งแสดงถึงการเจ็บปวด โดยให้น้ำมันหอมระเหยในขนาดความเข้มข้นต่างๆ แก่หนูแต่ละกลุ่ม หลังจากนั้น 30 นาที จึงฉีดกรดอะซิติกเข้าทางช่องท้องเพื่อกระตุ้นการปวด ผลการศึกษาพบว่าเมื่อให้หนูได้รับน้ำมันหอมระเหยจากกระทือ โดยการฉีดเข้าทางช่องท้อง และให้ทางปาก ในขนาดความเข้มข้น 50, 100, 200 หรือ 300 mg/kg มีฤทธิ์ระงับปวดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีค่าการยับยั้งอาการปวดเมื่อให้โดยวิธีการฉีดเท่ากับ 23.02, 53.89, 83.63 และ 98.57% ตามลำดับ และค่าการยับยั้งการปวดเมื่อให้ทางปากเท่ากับ 13.04, 28.30, 54.69 และ 75.68% ตามลำดับ ค่าความเข้มข้นที่ยับยั้งอาการปวดได้ร้อยละ 50 (ID50) โดยวิธีการฉีด และให้ทางปากเท่ากับ 88.8 และ 118.8 mg/kg ตามลำดับ แสดงว่าการฉีดมีผลยับยั้งการปวดได้ดีกว่าการกิน ดังนั้นจึงเลือกใช้วิธีการฉีดในการศึกษาวิธีอื่นๆ ต่อไป การศึกษาฤทธิ์ระงับปวดโดยใช้สารกระตุ้นการปวด 3 ชนิด ได้แก่ capsaicin, glutamate และ phorbol 12-myristate 13-acetate (PMA) ทดสอบโดยฉีดน้ำมันหอมระเหยจากกระทือ เข้าทางช่องท้องหนู ในขนาดความเข้มข้น 50, 100, 200 หรือ 300 mg/kg แก่หนูแต่ละกลุ่ม ใช้ยาแอสไพริน (100 mg/kg, i.p.) และ capsazepine (0.17 mmol/kg, i.p.) เป็นสารมาตรฐาน หลังฉีดสารทดสอบแล้ว 30 นาที จึงฉีดสารกระตุ้นการปวดชนิดต่างๆ ที่บริเวณอุ้งเท้าหลังด้านขวา แล้วสังเกตพฤติกรรมการยกเท้าขึ้นเลียของหนู (แสดงถึงการเจ็บปวด) ผลการทดสอบโดยใช้ capsaicin เป็นสารกระตุ้นการปวดพบว่าสารสกัดความเข้มข้น 100, 200 และ 300 mg/kg สามารถระงับปวดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีค่าการยับยั้งการปวดเท่ากับ 33.00, 73.40 และ 97.64% ตามลำดับ มีค่า ID50 เท่ากับ 128.8 mg/kg ขณะที่สารมาตรฐานแอสไพริน และ capsazepine มีค่าการยับยั้งเท่ากับ 40.07 และ 62.29 % ตามลำดับ ผลการทดสอบเมื่อใช้ glutamate เป็นสารกระตุ้น พบว่าสารสกัดทุกความเข้มข้น และยามาตรฐานแอสไพริน สามารถระงับปวดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีค่าการยับยั้งเท่ากับ 11.27, 41.70, 64.81, 99.30 และ 63.88% ตามลำดับ ค่า ID50 ของน้ำมันหอมระเหยจากกระทือ มีค่าเท่ากับ 124.8 mg/kg ผลการทดสอบเมื่อใช้ phorbol 12-myristate 13-acetate (PMA) เป็นสารกระตุ้นการปวด พบว่าสารสกัดทุกความเข้มข้น และยามาตรฐานแอสไพริน สามารถระงับปวดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีค่าการยับยั้งการปวดได้เท่ากับ 59.94, 80.42, 94.58,100 และ 56.93% ตามลำดับ ค่า ID50 ของน้ำมันหอมระเหยจากกระทือ มีค่าการยับยั้งเท่ากับ 40.29 mg/kg จากการศึกษาสรุปได้ว่าน้ำมันหอมระเหยจากกระทือสามารถลดอาการปวดได้ ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในทางคลินิกสำหรับบรรเทาอาการปวดได้ต่อไป (Khalid, et al., 2011)
ทดสอบฤทธิ์ระงับปวดในสัตว์ทดลองของสาร zerumbone ซึ่งเป็นสารกลุ่ม monocyclic sesquiterpene ที่เป็นสารองค์ประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหยที่แยกได้จากเหง้ากระทือ ทดสอบในหนูขาวโดยกระตุ้นให้หนูเกิดการปวดจนเกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าท้องด้วยกรดอะซิติก (writing test) ทดสอบโดยฉีดสาร zerumbone ขนาด 10 และ 20 mg/kg แก่หนู หลังจากนั้น 30 นาที จึงฉีดกรดอะซิติก ใช้ piroxicam (20mg/kg) เป็นสารมาตรฐาน ผลการทดสอบพบว่า การให้ zerumbone ในขนาดความเข้มข้น 10 และ 20 mg/kg สามารถระงับอาการปวดได้ คิดเป็นร้อยละ 47.89 และ 71.05 ตามลำดับ ซึ่งออกฤทธิ์ได้ใกล้เคียงกับยามาตรฐาน piroxicam (ระงับการปวดได้ร้อยละ 71.49) (Somchit, et al.,2012)
ที่มา :
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://apps.phar.ubu.ac.th/phargarden/main.php?action=viewpage&pid=200
หนังสือผักพื้นบ้านภาคใต้ สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข .2542.พิมพ์ที่โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก กรุงเทพฯ.